หน้าเว็บ

26 พ.ค. 2557

เหตุผล? ทำไมต้องมีคำนิยามซึ่งเป็นลักษณะส่วนบุคคล

ขอบคุณ Pinterest.com เครดิตภาพ theglitterguide.com

1. คำนิยาม คือ คำแนะนำตัวเองที่มีความหมายกะทัดรัดมากขึ้น พ่อผมพูดเสมอว่า “ลักษณะที่โดดเด่น มันจะแสดงออกมาความเป็นตัวเราได้อย่างชัดเจน” เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะมีความเป็นไปและการเปลี่ยนแปลงของมัน

2. คำนิยาม เป็นลักษณะที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถเลียนแบบกันได้ คำนิยามของใครต้องของคนนั้น มันเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่ง ที่จุดประกายให้เราเป็นที่โดดเด่นในแวดวงเพื่อนฝูงหรือเพื่อนร่วมงานได้ และจะมีคนที่มาให้ความสนใจ อยากรู้จักเรามากยิ่งขึ้น

3. คำนิยาม บอกสถานะเราได้ อย่างในไลน์ ที่มีการตั้งบทแนะนำตัวเอง หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ ก็เช่นกัน จึงเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น และสะท้อนภาพความเป็นตนเอง ไม่ต้องให้เหมือนใครหรือตามใคร จะแสดงสถานะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณ อย่างผมก็แสดงสถานะคำนิยามของผม เช่นอะไรบ้างที่ผมเคยตั้ง “The Freedom to choose”, “Positive Thinking and another peaceful life” เป็นต้น ผมเป็นคนคิดบวก มันก็ไม่แปลกที่ผมจะตั้งพวกนี้ขึ้นมา เพราะมันจะไปสะท้อนกับงานเขียนหนังสือของผมด้วย เมื่อบวกกับหน้าที่การงาน ทำให้มีจุดโดดเด่นที่ต่างกัน

4. คำนิยาม ก็เหมือนกับมุมมองส่วนตัว แล้วแต่ว่าใครจะคิดยังไง บางคนเขาก็อยากรู้จัก อยากหาเพื่อนใหม่ อยากมีคนคุยด้วย เอาไว้แก้เหงา มีเพื่อนในสังคมเหล่านี้มันก็ดี ผมเคยคุยนะ แม้แต่ต่างประเทศ เข้ามาคุยภาษาอังกฤษกับผมนี่ ภาษาจะเก่งหรือไม่เก่งไม่สำคัญ ขอแค่มีพื้นฐานมาบ้างก็คุยได้แล้ว ในไลน์ก็ดี แทงโก้ก็ดี หรือในสังคมอื่นๆ อย่าง Bee Talk บ้าง อะไรพวกนี้

5. คำนิยาม เมื่อเราตั้งขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนำมาพัฒนาตนเองได้ ผมคนนึงล่ะ ที่นำคำนิยามสั้นๆ เหล่านี้ มาทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น จนมีกระแส มีแฟนคลับ ผลงานเขียนของผมไม่ว่าจะเป็นบทกำลังใจและการพัฒนาตนเอง นิทานหรือบทกลอนก็ดี ผมว่านับเป็นเรื่องที่ดี ที่แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาได้รู้จักคุณ คุณจะได้ความรักที่พวกเขามีให้ กำลังใจก็ดี ผมอยากบอกว่า “ขอบคุณครับ...” และนี่มันเป็นประสบการณ์ที่สัมผัสได้ กำลังใจจากพวกเขาเป็นพลังให้คุณได้

6. คำนิยาม เป็นหัวใจสำคัญ ทำให้เราได้รู้ว่า ควรทำอะไรเป็นลำดับต่อไป และเป็นประโยชน์ให้เราในวันข้างหน้า อย่างที่เคยกล่าวครับว่า มันบอกสถานะเราได้ และมีผลกับในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อไปยังจุดสูงสุดของชีวิต ทำให้คุณมีความก้าวหน้ามากขึ้น และประสบความสำเร็จครับ

7. การแนะแนวย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดี ผมนึกถึงตอนสมัยเรียน มันจะมีวิชา แนะแนว เป็นแนะแนวทางการศึกษา คุณครูก็จะชี้แนะให้เราว่าควรจะทำอย่างไร ยิ่งบุคลิกซึ่งเป็นลักษณะของตนเอง ซึ่งทำให้มีบทบาทมากยิ่งขึ้น คนที่เรียนดี ได้เกียรตินิยม เพราะเขาได้รับการแนะแนวมา กับบทนิยามที่แสดงเจตนาดี ทำให้ชีวิตของคุณนั้นดีขึ้น ก็ย่อมเป็นไปทางที่ดี

8. บทนิยามสำคัญสำหรับการแนะแนว เหตุผลที่ว่า “ทำไม ต้องมีคำนิยาม” มันเป็นจุดเริ่มต้นอีกจุดหนึ่งในการพัฒนาตนเอง ยิ่งเราแนะแนวตนเอง เพิ่มกำลังใจมากขึ้น ก็ยิ่งผลักดันให้ตนเองมากขึ้นด้วย ถ้าเราแนะแนวคนที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ก็ลองแนะแนวเขาดูสิ เผื่อบางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคุณ แนะแนวพอให้เขามีหนทางที่สามารถเดินหน้าไปต่อได้ ก็ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดี

เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้ ตัวผมเอง ก็ได้สัมผัสประสบการณ์ดีๆ และได้ข้อคิดจากผู้ใหญ่ซึ่งแนะแนวทางผมตลอดคือคุณพ่อครับ คุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผม ทำให้ผมได้เขียนเนื้อหาเหล่านี้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ครับ

อะไรที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ ที่จะหาคำไหนมานิยามตนเอง ให้ผู้คนเหล่านั้นได้รู้จัก และคุณจะได้เพื่อนใหม่ ได้มิตรภาพ ได้สังคม ผมคนนึงล่ะ ที่ขาดสังคมไม่ได้ ทุกวันนี้ ผมก็มีสังคม อายุตัวเลขไม่สำคัญ ถึงจะต่างวัยกันก็ตาม ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ได้ทั้งรอยยิ้มและความสุขที่มหัศจรรย์ และผมก็พบคำตอบแล้ว จึงอยากให้คุณได้สัมผัสมันบ้าง

Following My Facebook Page : https://www.facebook.com/blogtkw2015

22 พ.ค. 2557

ปริศนาลูกคิวบิก และการวางแผน


รูปแบบการพัฒนาความคิด ต่อเติมเทคนิคต่างๆ หลายวิธีให้สร้างสรรค์ได้ การก่อร่างสร้างตัว ก็มาจากมันสมองของเราที่เป็นจุดกำเนิดความคิด สูตรผสม 9x6 เท่ากับ 54 ส่วน ในหนึ่งวันคุณใช้ไปกี่ส่วนแล้ว บางส่วนถูกลบทิ้งไป บางส่วนเป็นพลังงานด้านลบที่คงอยู่วงจรพลังงานภายใน บางส่วนคือความทรงจำดีๆ และไม่ดี บางส่วนคือความรักที่มีต่อผู้อื่น บางส่วนถูกแบนซึ่งไม่สามารถกลับคืนมาได้อีก บางส่วนเราต้องใช้ในการทำงาน และประกอบกับในชีวิตประจำวัน ที่เราต้องทำอย่างซ้ำๆ การก่อตัวดังกล่าวเป็นแผนผังสมองของเราด้วยกันทั้งนั้น

รากฐานของการจัดวางให้คงที่ ให้ไม่เคลื่อนไหวไปตามความคิดของคนอื่น อะไรที่เรารับฟังแล้วรู้สึกดี เป็นกำลังใจมันก็ดี อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ก็เข้าไปเสริมพลังงานด้านลบภายในตัวเรามากขึ้น การนำผลของการก่อร่างสร้างตัวที่มันไม่ดีก็ควรลบไป และสร้างบล็อกใหม่ที่เป็นด้านบวกก่อร่างสร้างความคิดให้สมบูรณ์

คิดดูสิครับ ว่ามีอะไรบ้างที่มาทำลายในแต่ละบล็อกของเราได้ แม้แต่เฉดสีต่างๆ ก็ถูกสลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะลงตัว มันไม่มีอะไรลงตัวเลยต่างหาก  เพราะการเคลื่อนไหวความคิดในแต่ละครั้งทำให้เราสูญเสียความคิดไปแล้วส่วนหนึ่ง มันจะลบของมันไปเอง สมมติว่า เรารู้สึกลืมของไว้ที่บ้าน มารู้อีกทีเอาตอนหลัง มันก็ช้าเกินไปที่จะไปสมัครงานใหม่ มันก็สายเกินไปแล้วที่จะแก้ไข นั่นก็เป็นเหตุที่เราทำให้เสียงานของเราไปแล้ว สมองช้า ความจำไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย เพราะไม่ได้ใช้ความคิดให้มันเคลื่อนไหวเลย หรืออาจเป็นเพราะขาดอาหารเช้า ไม่มีสารอาหารเข้าไปบำรุงเลย ตื่นมาปุ๊บ อาบน้ำแปรงฟัน แต่งกาย ไปโรงเรียนหรือเข้าทำงาน รู้อะไรมั้ยครับ ทำไมต้องตื่นสาย ส่วนหนึ่งความเคลื่อนไหวของบล็อกสมองได้ล่าช้า ถึงได้เข้าทำงานสาย

คนที่วิ่งทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหรอก ร่างกายเราต้องทำงานอยู่ตลอด ใช้ความคิดอยู่ตลอด สมองเป็นอวัยวะสำคัญ คิดดูคนปวดหัว เป็นไมเกรนกัน เพราะทำโอทีกันอยู่ สมองเราต้องการพักผ่อน จะให้ความคิดนั้นไหลซึมซับเข้าสมองจนก้อนเนื้อในสมองมันบวมขยายขึ้นมากันหรือไงครับ ก้อนเนื้อในสมองก็คือส่วนความคิดที่ถูกแบนหรือตายไปแล้ว มาเริ่มต้นกันใหม่ว่าต่อไปควรทำอย่างไร

ถ้าเราอยู่นิ่ง หยุดใช้ความคิดสักพักหนึ่ง อาการเหล่านั้นมันก็คงไม่เกิดขึ้น การให้ความคิดของเราได้พักผ่อนก็เท่ากับได้หยุดความคิดนั้นไปแล้ว วันต่อมาเราควรคิดว่าควรทำอย่างไรให้สุขภาพเราดีขึ้น และให้บล็อกสมองของเรานั้นได้สลับให้ตรงจุด ออกกำลังกายพักผ่อนสมอง เชิญชมธรรมชาติบ้าง พาเพื่อนคู่ใจไปเดินเล่น (สุนัข) คุยกับคนคิดบวกให้ได้บวก นำสิ่งนั้นมาประกอบกันชีวิตประจำวัน และบริโภคข่าวสารด้านบวก ให้บล็อกสมองของเราได้ปรับเข้าหากัน และดำเนินให้ถูกด้าน ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ที่เรามีความสามารถและประสบความสำเร็จ

การจัดลำดับความคิดสร้างตัวให้เหมาะสมกันได้อย่างไร ทำได้ครับ นำสูตรผสมดังกล่าวมาก่อร่างและบริหารการใช้ความคิดต่างๆ ในมุมมองใหม่ๆ ดูบ้าง เผื่อบางทีได้ไอเดียสร้างสรรค์ขึ้นมา มีผลงานให้ชื่นชม ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

กลไกสูตรผสม 54 ส่วน ส่วนไหนที่ตายไปแล้ว ลบทิ้งไป และเสริมใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ลบทิ้งไป จนกว่าจะมีความคิดงอกมาใหม่ พอจนได้ที่แล้ว ปรับตัว พลิกแพลง ปรับสมดุลเข้าหากัน พลังด้านบวกมันจะปรับของมันเอง เมื่อด้านใดด้านหนึ่งลงตัว ก็ไปทิศทางนั้น ถ้ายังไม่ดีขึ้น ก็ปรับใหม่ให้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ด้านใดที่ตายไปแล้วไม่สามารถนำกลับมาคืนได้อีก ส่วนนั้นก็จะถูกลบทิ้งไป และส่วนที่เราคิดขึ้นมาก่อร่างสร้างตัวใหม่ก็จะมาแทนที่

ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ คนที่ปรับให้ถูกจุดทุกด้าน คือบุคคลที่มีไอคิวระดับสูง หรือไม่คือคนที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่คนเราจะปรับถูกจุดซักกี่ด้านกัน ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต การจัดวางแบบแผนต่าง คือปรับกลยุทธ์เทคนิคและวิธีการต่างๆ ส่วนหนึ่งคือทัศนคติ การปรับตัวเข้าหาผู้คนเพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติม ได้มาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป

ขอบคุณภาพ cubicitconsulting.blogspot.com
เมื่อจุดเริ่มต้นไปยังปลายทางแล้ว ที่เราก่อร่างสร้างตัวนั้น ต้องประคองความคิดนั้นให้ตลอด และดำเนินไปเรื่อยจนกว่าจะประสบความสำเร็จ อย่าปล่อยให้มันพังทลายลงมา ถ้ามันเกิดขึ้นเท่ากับคนที่ล้มละลาย พอล้มไปแล้วจะทำอย่างไรมันก็ไม่ก่อร่างสร้างตัวได้อีก เท่ากับทั้ง 54 ส่วน ตายจากเราไปทั้งหมด

ถึงจะเป็นกี่ส่วนก็ตาม จะมากกว่า 54 ส่วน หรือร้อยส่วนก็ตาม หากนำความคิดที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ ส่วนนั้นก็นำความคิดไปแล้ว แต่ก็ต้องประคองความคิดนั้นไม่ให้ตกหล่นทับลงมาทำให้เราล้ม เทคนิคและวิธีการ เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล สัดส่วนไหนใช้ได้ ดึงมาใช้ให้หมด อย่าปล่อยให้ความคิดส่วนนั้นตายจากโลกนี้ไป

บริหารความคิด ทำให้เกิดทักษะและความสามารถ ปรับกลยุทธ์ เทคนิค วิธีการต่างๆ ปรับความคิดแต่ละส่วนให้ตรงจุด สิ่งที่เราคิดอยู่มันก็ไหลวนเวียนไปเรื่อย ค่อยปรับทีละนิดจนมันลงตัวได้ที่ เราก็เดินหน้าได้แล้ว คนที่จะแก้เกมนี้ได้ มีแต่คุณ ถึงกลไกมันจะลึกล้ำแค่ไหน คนที่จะแก้ปริศนานี้ได้ คุณก็สามารถทำได้เช่นกัน



19 พ.ค. 2557

ศูนย์กลางแห่งจักรวาลฯ และวิธีคิดที่แตกต่าง

ขอบคุณ Background HD

" แรงโน้มถ่วงระหว่างบวกลบ ความเข้ากันได้ที่ไม่มีสิ้นสุด "

ในโลกมีสรรพสิ่งรอบตัวประกอบด้วยสภาวะที่เป็นบวกและลบเข้าด้วยกัน ในมุมมองของศูนย์กลางจักรวาล ใช่ว่าจะต้องเป็นคนกลางที่คอยแบกรับเสมอไป หมู่ดาวใดที่ก่อตัวเป็นครอบครัวก็มักแบกรับความทุกข์สุขของเราด้วยเช่นกัน แม้แต่เพื่อนฝูงยังดึงดูดกันได้ ในระบบจักรวาลมันกว้างกว่าการท่องโลกซะอีก

สรรพสิ่งมีทั้งที่เราสามารถสร้างสรรค์เองได้ ขึ้นมาเป็นวัตถุนิยม แต่ที่ยากไปกว่านั้นคือพลังแห่งจักรวาลเราไม่สามารถสร้างเองได้ ทุกๆ สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนมีชีวิต ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป มีเพียงแค่ฝุ่นละอองเล็กๆ ก่อตัวกัน เป็นปรากฏการณ์ฝนดาวตก ที่เป็นความเชื่อในการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนสืบไป

ชื่อเต็มเรื่องคือ ศูนย์กลางแห่งจักรวาลและดุลแรงโน้มถ่วงของโลก (Center of the universe and balances the force of gravity) เป็นการกล่าวถึงสภาวะจิตที่แตกต่างอันประกอบด้วยด้านบวกและด้านลบ การดึงดูด และการเข้าหากัน พลังธรรมชาติในตัวเรา ที่ตัวเรานั้นเคยได้ใช้พลังเนรมิต พลังพวกนั้นมีที่มาอย่างไร การดึงดูดที่ไม่ลงตัว ทำให้กี่ชีวิตจบมาตั้งเท่าไรกันแล้ว เหนื่อยมั้ยที่ต้องแบกรับอยู่แบบนั้น เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล แบกรับทุกเรื่อง ทุกปัญหา และเป็นปัญหาที่เราต้องคอยตามแก้ไขตลอดเวลา

บทบาทของศูนย์กลางแห่งจักรวาล เป็นแหล่งรวมตัวของสสารมารวมตัวกันเป็นหมู่ดาวและการสังเคราะห์แสงของดวงอาทิตย์ทำให้เกิดแสงสว่าง สิ่งที่แตกต่างกันออกไปคือความมืด หากจิตใจเรามืดบอดก็มองไม่เห็นอะไรอีกแล้วในชีวิต ยิ่งความคิดเราก่อตัวให้เป็นพลังด้านบวก ยิ่งมีพลังเพิ่มมากขึ้น

การก่อตัวของพลังงานด้านบวกและลบ มีอยู่ภายในตัวเราอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ว่าคุณนั้นจะคิดนำในลักษณะแบบไหน คิดนำในด้านลบยิ่งทำให้หน้าที่การงานของเราแย่ สู้เอาสิ่งที่เราได้จากด้านลบมาแก้ไขไม่ดีกว่าเหรอ แก้สิ่งที่เป็นจุดบอดตัวเราเองก่อนที่จะไปถ่ายทอดให้คนอื่น ไม่อย่างนั้น จะให้คนอื่นประสบความสำเร็จกันได้อย่างไร แปรพลังงานด้านลบเข้าสู่พลังงานด้านบวก ให้สิ่งเหล่านั้นได้นำความคิดคุณไป ทำให้เป้าหมายของเรานั้นชัดเจนยิ่งขึ้น และมองเห็นอนาคตว่าคุณก็ทำได้

พลังงานแห่งจักรวาล แตกต่างจากพลังนิมิต พลังนิมิตเกิดจากจิตในภาวะที่สงบนิ่ง พลังจักรวาลแปรเปลี่ยนสภาวะลบเข้าหาด้านบวก เพราะมันดึงดูดเข้าหากัน ทำให้เกิดเป็นดุลแรงโน้มถ่วงขึ้นมา ได้แก่

1. พลังงานด้านลบ (Negative Energy) สิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรอบตัวที่นำเรื่องลบๆ เข้ามา ทำให้เกิดการฟุ้งซ่าน พอเราคิดมากไปคิดเยอะก็เป็นทุกข์ หรือมองแต่ภาพลบๆ เช่น ข่าวต่างๆ ที่เป็นเหตุต้องระวังภัย พอคิดมากไป ก็เพิ่มพลังงานด้านลบให้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น บริโภคข่าวสารพวกนี้ให้น้อยลง หันบริโภคข่าวสารอื่นๆ ที่แปรรูปพลังงานเป็นด้านบวกจะดีกว่า

2. พลังงานด้านบวก (Positive Energy) ประกอบด้วยคนรอบตัวซึ่งให้กำลังใจกันและกัน สัมพันธ์มิตรภาพไมตรี ภาพความทรงจำดีๆ ที่ได้เคยร่วมทำกันมา ทำให้เป็นวิชาชีพที่มีแต่ความสุข และความสุขเหล่านั้นก็จะตอบสนองแก่เรา คนที่พูดดี ให้ข้อมูลความรู้ต่างๆ ในฐานะผู้ตามเขาก็อยากให้เราประสบความสำเร็จ คนที่นำความคิดดีๆ ไป ย่อมนำสิ่งที่ดีมาให้เราเสมอ

3. พลังงานด้านบวกลบ (Subtractive Energy) พลังงานก่อตัวทั้งด้านบวกและด้านลบ ในศูนย์กลางแห่งจักรวาลย่อมดึงดูดกันและกัน อย่างที่ว่า ด้านลบมีไว้แก้ ด้านบวกมีไว้นำ จำไว้เลยว่ากฎของดุลแรงโน้มถ่วงย่อมเสมอภาค ถ้าจดจำเรื่องนี้ได้ ก็นำไปสู่วิธีคิดที่ประสบความสำเร็จได้

ดุลแรงน้ำหนักของด้านบวกและลบ ผมบอกเลยนะว่า โลกนี้บริโภคพลังงานด้านลบมากกว่า 50% แต่คนที่นำทำงานธุรกิจเครือข่ายหรือองค์กรต่างๆ กลับต้องการพลังงานด้านบวกมากกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วที่ต้องการนำไปใช้มากที่สุดคือพลังงานด้านบวกลบ เพราะมีทั้งสองด้านและต้องการพลังด้านบวกมากกว่าด้านลบ ในจักรวาลนี้มีทั้งบวกและลบ มีโลกเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ถ่ายเทน้ำหนักของกันและกัน คือการคงอยู่ของโลก พอเป็นตัวเรา เมื่อประสบกับปัญหาอะไร มาแล้ว นั่นไงปัญหาด้านลบ ต้องตามแก้ให้ปัญหาเหล่านั้นคลายตัว มันก็โคจรมาได้เสมอนั่นแหละ
           
การเผชิญกับปัญหาใดๆ ที่ไม่มันไม่โอกาสกลับมาได้อีก นั่นคือคนที่ตกสู่หลุมดำไปแล้ว หลุมดำเป็นหลุมที่ลึกที่สุด เท่ากับดวงจิตไม่อยู่กับตัว เหมือนตกลงสู่ห้วงแห่งจิตใจ เป็นอีกมิติหนึ่ง ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราที่หลับไปแล้ว อย่างไม่มีวันตื่นได้อีกเลย อะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะเสี่ยง พอถึงเวลามันแก้ยาก


พลังงานด้านลบ ยิ่งเดินไปไกลเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้หลุมดำมากเท่านั้น แค่ความต่างของหมู่ดาวระยิบระยับกับความมืดที่มืดมิด ก็ไปกันคนละทางแล้ว มีดาวสักดวงเอาไว้คว้าไว้สักหนึ่งดวงก็ยังดี อย่างน้อยก็มีด้านบวกมาเสริม และปลุกพลังใจตนเองให้สว่างไสวเท่ากับหมู่ดาวหมู่มากที่ให้เรามาเป็นพลังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น