หน้าเว็บ

28 มิ.ย. 2557

ลมคือการโต้ตอบจริงหรือ ?

ขอบคุณ Pinterest.com เครดิต Flickr.com By daitoZen

ลมคือการโต้ตอบ แล้วลมกี่ชนิดที่ตอบสนองเรานั้นมีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่แล้ว ลมที่ไม่ควรปะทะอย่างยิ่งคือการมีปากเสียง มันทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งมาแล้วหลายครั้ง สุดท้ายก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล การปะทะซึ่งหน้าเป็นอะไรที่ต้องใช้อารมณ์และทำให้ต่างฝ่ายต่างได้รับผลกระทบตามมา

ผมยืนอยู่กลางถนน ช่วงฤดูไหนที่พายุลมแรง ผมก็ลองรับลูกพายุในแต่ละคลื่นว่ามันรุนแรงแค่ไหน ถึงขีดจำกัดแค่ไหน ที่เราพอจะรับไหว เมื่อเราต้านลมมากๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของมัน ผลกระทบที่ผมได้รับคือความไม่สมดุลของธาตุในร่างกาย มันรวนไปหมด เหมือนกับมีพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ในท้อง แต่คงไม่ใช่ลมตดนะ อิอิ... เมื่อเราได้โจรพลังหรือฝึกวิชายุทธ์แบบจีน โอ้ว.. ขนาดขั้นนั้นเลยรึ ? แหม.. มันต้องมีกันบ้าง ผมเป็นคนที่ชอบฝึกศิลปะป้องกันตัว เป็นการออกกำลังกายไปในตัว มันก็ช่วยปรับความสมดุลของธาตุในร่างกายได้ มันก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ

ความไม่สมดุลมันก็เกิดขึ้นได้ อย่างหน้าที่การงาน มันไม่มีอะไรที่ลงตัว และเกิดความไม่สมดุลอยู่บ่อยครั้ง เราก็ต้องปรับให้มันคงที่ และจัดทำสร้างสรรค์ให้มันลงตัวสิ จะเอาอะไรมากมาย อย่างผมนี่ยังต้องปรับอะไรอีกเยอะให้มันเข้าที่เข้าทาง ทั้งการติชมและคำแนะนำ ซึ่งเป็นความคิดเห็นของพี่ชายผม ก็ยังปรับทัศนคติของผมด้วย ผมก็ต้องหาทางเดินของตนเอง เข้าไปอ่านบทความของนักคิดนักเขียนท่านอื่น และนำแนวคิดต่างๆ มาปรับทัศนคติ ทำให้ผมได้มองเห็นทางเดินของตัวเองอีกครั้ง จากที่ผ่านมายังไม่มีอะไรที่ลงตัวเลย แม้แต่เว็บไซต์หรือ Facebook Page มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมต้องปรับ และมองหากลุ่มเป้าหมายครับ

ลมคือการโต้ตอบจริงหรือ ?  ผมว่ามันคือการตั้งรับมากกว่านะ ซึ่งเราต้องตั้งรับให้เป็น ไม่ว่าจะไปเจออะไรมา หรือผลกระทบต่างๆ ที่ได้รับ ต่างก็เป็นโจทย์และบททดสอบให้เราได้ตีความ มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ และสามารถแก้ไขเฉพาะหน้าได้อย่างมืออาชีพ ยังดีกว่าการปะทะ มันมีแต่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ซึ่งสร้างความเสียหายมาแล้ว ขนาดใครด่าหยาบคาย ผมไม่พูดด้วยเลยนะ ถอยออกมาดีกว่า มันทำร้ายจิตใจคนเกินไป บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ แต่ผมบอกเลยว่า ไม่มีใครชอบหรอก ลิ้นกับฟัน ปะทะกันไป ก็เสียเวลาเปล่า มาทำอย่างอื่นดีกว่า

เมื่อลูกพายุต่างๆ ก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่  เราไม่ควรที่จะไปเป็นคนกลาง มีแต่ทำให้เจ็บตัวเปล่าๆ นี้ถ้าเกิดว่าทำร้านอาหาร มันก็ต้องต้อนลูกค้าให้อยู่ ถึงผู้คนจะมากันเยอะ เราก็ต้องรู้จักการตั้งรับและถนอมน้ำใจคน นอกจากได้ลูกค้าแล้ว ยังได้ความสัมพันธ์ที่เยี่ยมยอดเพิ่มไปอีก ธุรกิจต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน การตั้งรับสามารถยกระดับความสัมพันธ์ให้สูงขึ้น เดินหน้ารุกได้ ก็ย่อมมีการตั้งรับและจังหวะที่เรายังต้องเจออะไรอีกเยอะ ต่อให้ปัญหาเยอะแค่ไหน สำหรับผม ไม่เคยหวั่นไหว ผมรับได้ “เป็นผู้น้อยคิดอยากจะเติบโตต้องรับได้ทุกอย่างและปรับให้เป็น เป็นหนทางให้เราได้มีชัยชนะ เป็นปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จ” และนี่คือจากใจผมครับ คุณว่าจริงมั้ย

พลังงานต่างๆ มากมายในโลก และธรรมชาติของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เมื่อเราได้หาจุดสำคัญและค้นหาแรงบันดาลใจ ยังเป็นพลังงานให้เราได้ การตอบสนองต่างๆ เป็นสิ่งที่เราต้องคิดให้ดี อะไรที่เกิดขึ้น มักจะเป็นปัญหาตามมา “ลมหวนไม่กลับคืนมา ลมโต้ตอบคือสิ่งที่ตอบสนอง” อะไรก็ตามที่มันยากจะแก้ไข ก็ต้องปรับไปทีละนิดๆ กับการโน้มน้าวใจยังเป็นบทพื้นฐานสำหรับตัวเราเองอีกด้วย

17 มิ.ย. 2557

มหัศจรรย์พลังแห่งสายรุ้ง หนึ่งเดียวผู้เป็นนภา


ในสายรุ้งมีอะไร แล้วมีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้บ้าง ในสายรุ้งมันก็มีชีวิต มีพลังที่มาที่แตกต่างกัน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังฝนตกเท่านั้น และในปรากฏการณ์นี้ยังมีปรากฏการณ์อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น พระอาทิตย์ทรงกลด พระจันทร์ทรงกลด เป็นต้น ต่างความเชื่อที่มีความเป็นไปในแต่ละลักษณะ และความเป็นไปของแต่ละลูกคลื่นที่มารวมตัวกันเป็นหมู่เหล่า ทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถข้ามสะพานนี้ไปยังอีกฟากฝั่งของโลก

ชีวิตของสายรุ้งเกิดจากหลังฝนตก มีละอองน้ำ แสงตะวันกระทบ มันมีแค่นั้นจริงเหรอ ไม่รู้อะไรดลใจผม ให้เขียนสิ่งเหล่านี้ ที่มาจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พอกลับมาคิดอีกที เอ้า...! นั่นไงมันมาแล้ว มันอยู่ในมือผม ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย พลังสายรุ้งก็เกิดขึ้นต่อหน้าผม มือผมเปียกน้ำ ชุ่มชื้น รับแสงดวงตะวัน พลังก็ปรากฏ แหม... อืม..จะว่าไปแล้ว บนโลกนี้มันก็ยังมีอะไรอีกมาก ที่เรายังขาด แล้วมาเติมให้เต็มให้สมบูรณ์ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้

อย่ามองแค่ความสวยงามของมันอย่างเดียว เราต้องค้นหารากฐาน และความมั่นคงของเราสิ แต่ของพวกนี้มีเกิดย่อมมีดับ แต่สิ่งที่ไม่มีวันดับ คือใจของเราเองครับ

แม้แต่ในจักรวาลยังมีสายรุ้งเลย หมู่ดาวมากมายร้อยพัน หมื่น แสน ล้าน ดาวเคราะห์ต่างๆ ที่เรียงตัวกัน ยังเกิดพลังแห่งสายรุ้งได้เลย ไม่ใช่แค่ความสวยงามของมัน ในหมู่ดาวยังมีพลังงานที่สะสม และมีชีวิตที่จะเคลื่อนตัวไปตามราหูพยากรณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเรา ตัวเราต่างหากที่จะต้องสร้างมัน เปลี่ยนพลังนั้นให้เป็นการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

ในพลังงานเหล่านี้ ก็คือการรวมตัวของคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดต่าง และเกิดความเข้ากันได้ เป็นพลังงานเหล่านี้ ที่จะชี้นำว่าเราก็สามารถออกไปแตะขอบฟ้าได้ ผู้นำที่จะสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ออกมาในรูปแบบของความมหัศจรรย์ที่มันก็เกิดขึ้นได้กับคุณ อะไรที่แตกต่างกันออกไป อย่างบางคนถนัดอีกทางหนึ่ง และอีกคนหนึ่งก็ถนัดอีกแบบหนึ่ง หรือความคิดที่ต่างกันออกไป เมื่อเรานำมาอภิปรายจนถึงจุดสรุป ก็เกิดความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งอยู่ในปึกแผ่นฟ้าเดียวกันได้


สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของผมครั้งนี้ คือการ์ตูนครับ เรื่อง Katekyo Hitman Reborn (ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น) เห็นเขารวมพลังกัน แม้แต่พลังที่ต่างกันก็ยังฝ่าวิกฤตไปได้ ความคิดที่ต่างกันก็ยังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ไปได้ “คิดจะเป็นนภา ต้องคิดที่จะรวมกลุ่มเป็นสังคม” เอาไว้เจอกันที่บนท้องฟ้านะครับ

16 มิ.ย. 2557

ต้นไม้แห่งชีวิต และเมล็ดพันธ์ุ

ขอบคุณ Google Pic Search เครดิตภาพ genesisnaturalmedicine.com

“ เมล็ดพันธุ์ในวันนี้ คือต้นไม้ที่แข็งแกร่งในวันข้างหน้า ”

กว่าเราจะเติบโตและเติบใหญ่ ย่อมได้รับความรัก และการปลูกฝังค่านิยมจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ที่ปลูกและหว่านให้เราได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า เดิมทีเราก็เป็นแค่รากอ่อนๆ จนเติบโตเป็นต้นไม้ให้ท่านได้พักพิง เป็นร่มเงาให้พ่อแม่ วันนี้พ่อแม่ดูแลเรา วันข้างหน้าเราก็ต้องดูแลท่าน

รากตัวน้อยที่ต้องการได้รับการดูแลและการเอาใจใส่ ถ้าปล่อยมันไว้ ไม่ได้รับการดูแลเท่ากับตายไปแล้ว ถ้าเราดูแลสักหน่อย หว่านเมล็ดพืชหรือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาก็คงเติบโตขึ้นมาอยู่ระดับลำต้นอ่อนๆ ไปจนถึงระดับโตเต็มที่ ตามลำดับ เด็กๆ อย่างเราควรได้รับการฝึกฝน การเรียนรู้ และทักษะ การทำงานเป็นทีมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้พัฒนาและก้าวหน้าได้เช่นกัน

สมมติ เรามีที่นาสักหนึ่งไร่ ปลูกอะไรก็ได้ และดูแลมัน ให้อาหารให้น้ำ และรอจนกว่ามันจะโต ซึ่งนำมาการได้ผลนั้น ทุกอย่างล้วนมีรูปแบบในการเจริญเติบโตของมัน

ต้นไม้หนึ่งต้นก็ใช้เวลาพอสมควร เมื่อมันโตขึ้นก็แตกแขนงออกเป็นกิ่งย่อยกิ่งเล็ก เปรียบเสมือนกลุ่มแผนผังองค์กรหรือวงจรครอบครัวตั้งแต่บรรพบุรุษไปจนถึงลูกหลาน ทุกวันนี้เราเติบโตได้เพราะมีพ่อแม่ที่ดูแลเอาใจใส่

เมล็ดพันธ์ที่ดี คือการปลูกฝังค่านิยม ทักษะและการเรียนรู้ต่างๆ ตั้งแต่เด็กจนโต กิจกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำอย่างซ้ำๆ แล้วทุกอย่างจะดูดี ทำให้ตัวเรานั้นมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย

ศัพท์ว่า เมล็ดพันธุ์  ใช้ในความหมายทั่วไปและกลุ่มองค์เชิงธุรกิจต่างๆ จนเติบใหญ่เป็นต้นไม้แห่งชีวิต เราปลูกต้นไม้หนึ่งต้น ชีวิตของมันก็คือเรา ชีวิตเราจึงเปรียบดังต้นไม้ ยามใดที่เราตกทุกข์ได้ยากต้นนั้นคงจะเหี่ยวเฉาไป เมื่อเวลาคนเราเดินทางผิด ต้นไม้ที่เราปลูกมากับมือ ชีวิตของต้นไม้ก็มีความเป็นไปเดียวกับเรา นี่แหละจึงเป็นที่มาของ ต้นไม้แห่งชีวิต

ชีวิตที่ควรดำเนินต่อไป ในฐานะคนสู้ชีวิต เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เจริญเติบโตงอกงามและเติบใหญ่พร้อมที่จะปลูกฝังค่านิยมในรุ่นต่อไป เวียนว่ายไปไม่รู้จบ นั่นคือหลักการสร้างผู้ตามให้ขึ้นมาเป็นผู้นำในวันข้างหน้า ผู้คนนับร้อยหรือในหมู่มาก บางส่วนที่ทำประโยชน์การอนุรักษ์โลกสีเขียว ได้มีพื้นที่ส่วนตรงบ้าง คนที่เขาเคยปลูกเอาไว้ ในวันนี้มันเติบใหญ่แล้ว อะไรที่ใครในบรรพบุรุษกาลได้รักษาจงรักษาไว้ อย่าได้มีใครที่มาโค่นของรักของหวงของเรา มิฉะนั้นค่านิยมที่สร้างมา มันก็คงจะหายไป การปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีบางส่วนที่มีอายุมากกว่าคุณปู่คุณย่าเราซะอีก เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ถ้าบรรพบุรุษอยากรักษาต้นนี้ไว้ ก็คงบันทึกเป็นมรดกตกทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานจนสืบไป

พลังธรรมชาติ ความเป็นอยู่ และการคงอยู่ของเมล็ดพันธุ์ซึ่งเติบโตเป็นต้นไม้แห่งชีวิต สิ่งที่ธรรมชาติมี คือความชุ่มชื้น ความอุดมสมบูรณ์ และความแข็งแกร่งที่หยัดยืนอยู่ได้ คนเราก็เปรียบดังต้นไม้ หากมีผู้ใดมาโค่นหรือวันที่เราล้มลง จะหยัดยืนอยู่ต่อมันจะเป็นไปได้เหรอ ถ้าเป็นผม ผมต้องบอกว่าได้ ถึงแม้กิ่งไม้จะแตกหักไป เราก็ยังคงความเป็นตัวเรา เราต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง อย่างน้อยที่ผ่านมาก็เป็นประสบการณ์และความทรงจำเหล่านั้นทำให้เราได้เรียนรู้ สิ่งที่ธรรมชาติให้มาก็เป็นเหตุผลของมัน

ถ้าต้องเปรียบกับดอกไม้เฉกเช่นดังดอกบัวสี่เหล่า สิ่งเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ของมันอยู่แล้ว แต่เกสรพลังส่วนภายในเราจะเรียกออกมาใช้ได้อย่างไร มันก็คือพลังภายในจิตใจ ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งหรือแข็งแกร่งย่อมฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างได้ หวังว่าสักวันหนึ่งมันต้องผ่านไปได้ จิตใจเราก็เปรียบดังเกสรเป็นส่วนที่อ่อนบาง แต่คนบางคนก็ทำร้ายจิตใจกันอย่างสิ้นเชิง เพียงเริ่มต้นแค่คำพูดมันก็ไปแล้ว ลิ้นกับฟันกระทบกัน มันก็เป็นเรื่องขึ้นมาทันที บางอย่างสิ่งที่เราพูดก็ไม่ทันได้คิดว่าตัวเราเองนั้นพูดอะไรออกไป พอเราพูดออกไปแล้ว การกระทำก็ตามมา จิตใจภายในหรือเกสรของดอกไม้คือสิ่งที่เราต้องรักษาไว้ เพราะมันเปราะบางมาก ถ้าวันนี้เราสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้

นึกถึงคนที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน การเข้าหาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พวกเขาเหล่านั้นก็ยังเข้าหาศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ขัดเกลาจิตใจให้ว่างเปล่า ไม่เพียงแต่วิธีนี้ ในหลายวิธีก็มีจุดที่แตกต่างกันออกไป

หลักการทำให้จิตใจเข้มแข็งเปรียบดังรากต้นไม้ให้ยึดเหนี่ยวและคงอยู่ ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เราเข้าใจในหลักของมันหรือเปล่า รากที่แข็งแรงทำให้ความคิดของเรานั้นดูเข้มแข็งขึ้น แต่ก็ต้องบริหารความอ่อนตัวและแข็งไปด้วย บางคนเข้มแข็งแต่เย่อหยิ่ง เรื่องอะไรที่รู้อยู่แล้วก็อยากจะอวดว่าตัวเองเก่ง การฝึกและบริหารจิตใจช่วยคุณได้ บางเรื่องอะไรที่รู้อยู่แล้วก็หัดเป็นคนโง่บ้าง มีคำถาม แก้ไขจุดที่ข้องใจ รวมไปถึงการับฟังปัญหาต่างๆ ด้วย ความอ่อนตัวของความคิดทำให้เราได้เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น หรือได้ข้อมูลใหม่บ้างก็ได้ ถ้าความคิดเราแข็งมากเกินไป มันก็คงไม่ดีกับตัวเราและคนรอบข้างด้วย

ทุกวันนี้ เราเติบโตพอหรือยัง ในทุกวันมีพัฒนาการเป็นไปตามลำดับ อย่างที่ผู้นำเขาเคยพูดกันอยู่บ่อยๆ ถ้าคุณกล้าที่จะคิด ต้องคิดให้ใหญ่ พอจะคุ้นเคยกันบ้าง การพัฒนาขึ้นอยู่กับการลงมือทำเป็นประสบการณ์ชีวิต แล้วด้านไหนล่ะ กิ่งเล็กกิ่งย่อยของต้นไม้มีหลายด้านให้เราเลือก แต่สิ่งที่เราเลือกใช่ความเป็นตัวคุณหรือเปล่า หากยังไม่ใช่ ก็ต้องค้นหากันต่อไป จนกว่ามันจะใช่สำหรับเรา

ขอบคุณ Google Pic Search เครดิตภาพ goodfon.ru

ต้นไม้มันก็เหมือนสายใยครอบครัว กลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ใช้กันโดยทั่วไป การนำผลนั้นมาซึ่งเป็นกำไรก็มาจากทุ่นน้ำแรงของเราด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน ขยันมากยิ่งได้มาก ขยันน้อยยิ่งได้น้อย จะให้ต้นไม้แข็งแกร่งและการคงอยู่นั้น เราอดทนสภาพแวดล้อมเหล่านั้นได้หรือเปล่า สภาพแวดล้อมทางสังคมทำให้เราเติบโตขึ้นได้

ถึงอย่างไร การที่เราจะคิดเป็นต้นไม้ใหญ่ หรือผู้นำครอบครัวนั้น การปลูกฝังสิ่งที่มีค่าที่สุด คือการเดินไปข้างหน้า อนาคตที่มีประสบการณ์รอเราอยู่ ต่อไปในภายภาคหน้าเราขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ ให้ลูกหลานได้พักพิง เป็นไปตามวงจรชีวิตของแต่ละคน

ถ้าเราเลือกที่จะเดิน ควรเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย ที่เต็มไปด้วยมั่นใจ แข็งได้ อ่อนเป็น บริหารตนเอง เป็นร่มเงาให้ผู้อื่นเดินตาม ถึงจะได้เรียกได้ว่าเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง

15 มิ.ย. 2557

ก้อนหิน มันลอยได้ จริงเหรอ ?

เครดิตภาพ smallbizsurvival.com

ก้อนหินมันลอยได้ จริงเหรอ? ไม่จริงหรอกมั้ง? แต่สิ่งที่ลอยไปลอยมาคือ ลูกตาของเราเคลื่อนไหวต่างหากล่ะ หลายครั้งที่ผมดูหนังอย่าง Resident Evil แหม... อะไรจะขนาดนั้น ที่จู่ๆ นางเอกจะมีพลังพิเศษ ซึ่งปรากฏในภาค 3 ทำให้ทุกอย่างในบริเวณนั้นลอยได้ ในขณะที่ผมดูละครช่อง 7 ซึ่งนิยมไสยศาสตร์ซะส่วนใหญ่ มีเกือบทุกเรื่อง จนผมได้บทสรุปของเรื่องนี้มาจนได้ นักแสดงที่รับบทเป็นพระสงฆ์ที่สอนพวกเรามานั้น ก็เป็นบทสรุปตายตัว “ถ้าก้อนหินมันหนัก ก็ควรปล่อยวาง” การกำหนดจิตก็เช่นเดียวกัน หากเราเพ่งเล็งก้อนหินหนึ่งก้อนจนนานเกินไป ตาของเราก็จะกลายเป็นหิน อย่าให้สิ่งนั้นมาอยู่เหนือจิตของเรา ก็ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะปล่อยวาง

ก้อนหินมันบินได้ แล้วแช่เอาไว้ในตู้เย็น... 555+ แหม.. ไม่ต้องให้ถึงขั้นนั้นหรอกครับ อย่างผมนี่มีคำนิยามเฉพาะ คืออิสรภาพ  (Freedom หรือ Peace) ครับ เอาให้บินได้ไปเลย... ทุกสรรพสิ่งถูกธรรมชาติออกแบบมา เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มีแต่เราที่ไปเปลี่ยนแปลงมัน สำหรับมนุษย์อย่างเรานั้น จิตคือตัวตนของเรา ไม่มีอะไรมาอยู่เหนือเรา ความฝัน เป้าหมายในชีวิต มีแต่เรากำหนดมัน และเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นจริงตามความต้องการของเรา จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อ สิ่งที่เราแบกรับมันไว้ มันหนักเกินไป นอกจากไม่มีอิสรภาพ ไม่เป็นของตัวเองแล้ว ยังทำให้เราได้อยู่กับที่ ไม่ขยับ ไม่เปลี่ยนแปลง ต้องปล่อยวางลงบ้าง เผื่ออะไรจะได้ดีขึ้นครับ

สรุปโดยรวมคือ ทฤษฎีก้อนหินลอยได้ ก็คือการกำหนดจิต การมองหาเป้าหมาย ทำให้ทุกอย่างมันคล่องตัว ออกจากที่เดิมๆ ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ และลงมือทำความฝันของเราให้เป็นจริงครับ

การได้ออกเดินทางไปในที่ต่างๆ ทำให้เราได้หลงรักการผจญภัย ตอนผมเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละครับ รถแท็กซี่ไม่นั่ง นั่งรถเมล์ดีกว่า ประหยัดเงิน และทำให้ได้รู้ว่าประสบการณ์ที่ผมได้ออกเดินทางนั้น นอกจากยังแหล่งช้อปปิ้ง ความบันเทิงนั้น ยังได้สังคมใหม่ๆ อีกด้วย ได้อัพเดตข่าวสารมูลค่าข้าวของเครื่องใช้ และเทคโนโลยีต่างๆ อีกด้วย ยังดีกว่าได้อยู่กับที่ ถ้าให้อยู่นิ่งเหมือนก้อนหิน มันก็คงไม่ไหวเหมือนกันครับ มันอึดอัดแย่เลย

นอกจากนั้น คุณพ่อผมยังสอนผมอีกด้วยว่า การได้ออกเดินทางทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง อย่างคนที่ผมไม่รู้จัก คนทั่วไป ผมก็ยิ้มให้ ได้รอยยิ้มจากผู้คน ก็ทำให้ผมมีแรงผลักดัน มีแรงบันดาลใจในการเขียนไดอารี่ ที่ผมได้บันทึกเอาไว้ มันมีอะไรหลายที่ซ่อนอยู่ภายในก้อนหินก้อนนั้นจริงๆ

13 มิ.ย. 2557

รถไฟขบวนแห่งความฝัน

เครดิตภาพ chord.you2play.com
ซิงเกิลใหม่ที่พึ่งออกมาได้ไม่นาน ของวงพาราด็อกซ์ ที่ผมนำมาเขียนนั่นก็เพราะแรงบันดาลใจดีๆจาก พี่ต้าร์ (อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา) ผมชอบครับ เป็น "My best brother" เลยก็ได้

ผมรู้จักพี่ต้าร์มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ผมลืมตาดูโลก ผมติดตามผลงานตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน เพลงแรกที่ผมชอบคือ เพลง "ไก่" เพื่อนๆของผมยังชอบเลย การทำอัลบั้มแรกของพี่ต้าร์ ผมได้รู้จักกับพี่สอง ขนาดผมโตขึ้นพี่สองยังจำผมได้เลย เมื่อประมาณปีสองปีที่แล้วได้มั้ง ที่บ้านคุณย่า (จรัญสนิทวงศ์ 75) พ่อผมมีพี่สาว แม่ของพี่ต้าร์ ผมเติบโตมากับเสียงเพลงของวงพาราด็อกซ์ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังติดตามผลงานอยู่ มีหลายเพลงที่ผมชอบ

มีคนในวงการบันเทิงก็ชักชวนให้พี่ต้าร์แสดงละคร แต่พี่ต้าร์ไม่ชอบหรอกครับ ครั้งล่าสุดก็แสดงชิทคอมของทางช่อง7 เป็นแขกรับเชิญ โดยรับบทเป็นคนตาบอด ผมก็ได้แรงบันดาลใจดีๆจากละครชิทคอมที่พี่ต้าร์เล่นด้วย นอกจากนั้นก็มีเพลงประกอบภาพยนตร์ตามมา และเพลงประกอบโฆษณา และครั้งล่าสุดที่ทางแกรมมี่ได้จัด 16ปีแห่งความร็อค พี่ต้าร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นศิลปินกลุ่มร็อคระดับแนวหน้าเลยครับ

เครดิตภาพ news.you2play.com
คอนเซ็บของพี่ต้าร์คือ "ผงาดง้ำค้ำโลก" ก็ยังเป็นผลงานเพลงขวัญใจเด็กแนว แต่ให้ข้อคิด เนื้อหาเพลงออกมาดีครับ อ่อ...มีอยู่เพลงนึง ถ้าเป็นไปได้อยากให้มี ปลายสายรุ้งเดอะมิวสิคัล มันได้อารมณ์และเนื้อหาของความรัก ฟังแล้วมันอิน ขนาดผมยังร้องไห้เลย อีกเพลงนึงคือเพลง "ทะเลสีดำ" ที่ต้องร้องคู่กับลุลา เพลงประกอบละครเรื่อง "เกมร้ายเกมรัก" คู่พระนางอย่าง ณเดชน์-ญาญ่า เพลงนี้ก็ซึ้งได้อารมณ์มากเหมือนกันครับ



ยังมีอีกคนนึงที่ต้องแนะนำครับ น้าสาวหรือน้องสาวของพ่อ เป็นดีเจอยู่ที่ Love weekend Healthy Life Radio 104.5 FM ส่วนน้าเขยก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน ส่วนใหญ่ครอบครัวนี้ออกนิตยสารอยู่บ่อยครั้ง ญาติฝ่ายพ่อที่อยู่ในวงการบันเทิงก็มีแค่นี้ล่ะครับ ส่วนดาราคนอื่นก็มีเพื่อนแม่บ้าง เพื่อนพ่อบ้าง ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเพื่อนแม่มากกว่า

เข้าเรื่องดีกว่าครับ รถไฟขบวนแห่งความฝัน พอผมได้ดูมิวสิควีดีโอ เนื้อหาของเพลงดีมากครับ ซิงเกิลนี้ตรงกับความคิดของผม ว่าความฝันที่ยิ่งใหญ่มาจากการลงมือทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ส่วนใหญ่ที่เราฟังเพลงกันอยู่ทุกวันจะหนักไปทางเรื่องความรักซะมากกว่า จะมีใครสักกี่คนที่ได้ขึ้น "รถไฟขบวนแห่งความฝัน" มาท่องโลกกันบ้าง โลกนี้ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน บทเพลงนี้สร้างกำลังใจได้อย่างมหาศาล ต้องลองฟังกันดูครับ ถึงจะรู้ว่า บทเพลงนี้ให้อะไรได้มากกว่าที่คุณคิด



11 มิ.ย. 2557

ม้าวิ่งสามระดับ และการเดินหน้า

ขอบคุณ Pinterest.com เครดิตภาพ nevadatravel.net

ม้าวิ่งสามระดับ หรือทฤษฎีม้าวิ่ง (Theory of a horse) เป็นอีกทฤษฎีหนึ่ง การควบคุมตนไม่ให้เกินขีดจำกัดของตนเอง จะมีใครสักกี่คนที่ขี่ม้าเป็น ไม่มีใครรู้หรอกว่า มันอยู่ในสถานะอารมณ์ไหน การที่จะควบคุมมันให้อยู่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ การไว้วางใจและการเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเชื่อว่า เราทำได้

ไม่มีใครเดาอารมณ์ได้ถูกต้องเสมอไป หากจิตใจเราขุ่นมัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ ก็เหมือนกับม้าที่พยศ วิ่งไปแล้วไปลับไม่กลับมา กว่าจะกลับมาต้องใช้เวลาในการปรับตัว คนที่มีลักษณะไม่ค่อยยอมใครจะปรับตัวได้ยาก ถ้าเราต้องทำงานเข้าหาผู้คน คงใช้อารมณ์นี้ไม่ได้ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อผลงานและชื่อเสียงบริษัท

การสงบนิ่ง การเดินหน้าเข้าหาจุดมุ่งหมาย และความแข็งตัวของการบริหาร ทฤษฎีนี้คือ การเดินหน้าเข้าหาเป้าหมายอย่างมีสติ ควบคุมตนไม่ให้ทางอารมณ์มาอยู่เหนือความคิดของเรา สิ่งที่ใครๆ ต่างต้องการคือความสำเร็จในชีวิต ที่เห็นได้ชัดคือการปรับอารมณ์ให้สมดุลกับความคิดของเรา การแสดงออกต่างๆ ล้วนมีผลมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นในวงการธุรกิจต่างๆ หรือในชีวิตประจำวันก็ตาม ส่งผลต่อบุคลิกภาพ เสียทั้งความรู้สึกและความคิดของเราเอง ยิ่งลงทุนทุ่นแรงเท่าไร อะไรที่ทำให้เราตื่นเต้นมากๆ ยิ่งต้องควบคุมให้มาก หากมันมากเกินไปก็ทำให้เสียงานได้

ฝูงม้าที่วิ่งไป ก็เหมือนกับการแข่งขัน ยิ่งการแข่งขันมีมาก ยิ่งต้องลงทุนมากเพื่อให้ได้กำไรที่มากมาเป็นผลตอบแทน การแข่งขัน อิสรภาพทางด้านเวลามีไม่มากนัก เราควรดำเนินไปอย่างช้าๆ มีสติและคิดให้รอบคอบ ว่าต่อไปควรทำอย่างไร ไม่ควรว้าวุ่นให้มากนัก พอเราขาดสติปุ๊บอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ลักษณะของม้า มี 3 ระดับ ได้แก่
1. ระดับม้านิ่ง (Maning Level) รู้สึกสงบ พอควบคุมสภาวะจิตใจได้ ยิ่งนิ่งเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ไม่ควรเฉยเกินไป มีความสามารถในการอ่านใจคน ยิ่งต้องอยู่ร่วมการทำงานด้วย ต้องศึกษาต่อในระดับถัดไปประกอบร่วมในการดำเนินกระชับความสัมพันธ์

2. ระดับม้าวิ่ง (Running Level) ภาวะกำลังดำเนินอยู่ในเหตุการณ์ รู้สึกเคลื่อนไหว กำลังพยายาม หลังจากที่ผ่านการอยู่ร่วมการทำงาน เหตุการณ์ทุกอย่างกำลังผ่านไปอย่างช้าๆ สิ่งที่เรากำลังดำเนินอยู่ต้องควบคุมให้อยู่อย่าปล่อยให้อารมณ์นั้นมาทำให้งานนั้นเสีย มันก็สูญเสียความรู้สึกของกันและกันได้ ยิ่งลงทุนมาก ก็ยิ่งเสี่ยงมาก ก็จะเข้าสู่ระดับต่อไป

3. ระดับม้าพยศ (Skitting Level) ภาวะแย่กว่าเดิม พลาดท่า เสียโอกาส เสียความรู้สึกที่ได้ทำลงไปแล้ว รู้สึกเป็นโมหะ สิ่งนั้นกำลังลุกเป็นไฟ ควบคุมไม่อยู่ อย่างม้าวิ่งไปแล้วไปลับไม่กลับมา มีความเสี่ยงและเป็นเหตุให้งานชิ้นนั้นแย่ลงกว่าเดิม แต่ใครที่เคยพลาดอย่างเอกสารหาย ยิ่งต้องหาให้เจอ ก็ควรต้องปล่อยเขาไป หรืออะไรที่ทำความรู้สึกนั้นนำอยู่ในแง่ลบ คือไล่ออกสถานเดียว ไปแล้วไปลับอย่าได้กลับมา เป็นความรู้สึกที่แย่มากกว่านี้อีก

สองระดับแรกต้องควบคุมให้อยู่ หากระดับสามเกิดขึ้น ก็ยิ่งต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่สอง หรือไม่ก็ระดับแรก อย่าปล่อยให้สิ่งเร้าใจมาอยู่เหนือความคิดเรา ต้องหยุดหรือเลิกการกระทำนั้นซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เราอยากจะทำ

การแข่งขันย่อมมีขึ้นมีลง หรืออยู่กับที่ อยู่ที่ว่าเราขยันมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าใครก็สามารถแซงได้ทั้งนั้น แข่งขันกันทำผลงาน  ที่ใดมีการแข่งขันสูงยิ่งมีความเสี่ยง ต้องคุมตนเองให้อยู่ในระดับสอง ไม่ว่าผลงานนั้นๆ จะดีหรือไม่ แพ้หรือชนะไม่สำคัญ แต่สิ่งที่เราได้คือประสบการณ์ ยิ่งมีมากเท่าไร เราก็มาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ละก้าวที่เราก้าวไปนั้น คือการไต่ระดับ ขยับไปทีละก้าวเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ความสุขอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ก้าวถอยหลัง แต่ถ้าเราแพ้เท่ากับเราได้พ่ายแพ้ใจตัวเอง ถอยหลังไปสักก้าวได้คิดไตร่ตรองใหม่ สร้างแรงบันดาลใจและปลุกกำลังใจตนเองให้ลุกขึ้นสู้ และนั่นคือการเอาชนะใจตนเองที่สมบูรณ์แบบ


9 มิ.ย. 2557

น้ำทะเล ท้องฟ้า และก้อนเมฆ (Sea, sky and clouds)

ทะเลภูเก็ต

ใครชอบสีฟ้าขอให้ยกมือขึ้น สีฟ้าสดใส น้ำทะเล ท้องฟ้า ส่วนก้อนเมฆเป็นตัวแทนของอารมณ์ ถ้าดูจาก
น้ำเปล่าที่บ้าน มองแล้วก็เหมือนกระจกเหมือนไปสู่อีกโลกหนึ่ง เรามองมันทุกวัน ดื่มน้ำทุกวัน คุณเห็นอะไรมั้ย หรือบางทีมองผ่านเป็นแว่นขยาย ขนาดสิ่งมีชีวิตเล็กๆอย่างยุง แมลงวัน ยังกลัวเลย แล้วเราล่ะเห็นหน้าตัวเองใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงครับ มันก็ต้องใหญ่ขึ้นอยู่แล้วใช่มั้ยครับ

บางเสร่ คอนโดมิเนียม. April 5th, 2014.
ประเทศบ้านเราโชคดีได้ไปเที่ยวทะเล ปิดเทอมทั้งที พาครอบครัวไปเที่ยวสิครับ ผมเติบโตที่จังหวัดภูเก็ต อยากมีบ้านสักหลังที่ริมทะเล ได้บรรยากาศและแรงบันดาลใจ แต่บ้านเดิมผมอยู่ในตัวเมือง จนกระทั่งได้ย้ายบ้านขึ้นกรุงเทพฯ ก็ไม่รู้เมื่อไรจะได้เห็นทะเลอีก ทะเลภาคใต้สวยครับ เป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโดยเฉพาะภูเก็ต ตามมาด้วยจังหวัดเพื่อนบ้าน พังงา กระบี่ อยากไปเที่ยวเกาะ ต้องไปเกาะพีพี พอขึ้นมากรุงเทพฯ สวนสยามทะเลกรุงเทพ เคยไปแต่ตอนเด็กๆ โตขึ้นมายังไม่ได้ไปเลย ที่ผมไปมาแล้วก็มีจังหวัดสมุทรปราการ พัทยา ชลบุรี ระยอง แต่ที่ประทับใจที่สุดคือ บางเสร่-สัตหีบ จ.ชลบุรี เคยไปบ่อยมาก ไปก็ไปพักคอนโดของป้า พี่สาวคุณพ่อ ก็มีคนทักนะครับว่าเป็นญาติกับพี่ต้าร์ วงพาราด็อกซ์ ปกติก็ต้องไปเช็คอินอยู่แล้ว ทะเลที่บางเสร่ก็สวยครับ ต้องบอกว่าไปพักอยู่บ่อยๆ คนแถวนั้นเขารู้กันหมดแล้วล่ะครับ (หัวเราะ...)

ท้องฟ้า เป็นคนชอบมองท้องฟ้า ชอบถ่ายรูป สีฟ้าเป็นสีที่ผมชอบนะ ส่วนตัวผมเกิดวันพฤหัสฯ ไม่เกี่ยวกันเลย สีวันพฤหัสฯ มันต้องเป็นสีแสดหรือไม่ก็สีเขียว

ทะเลสัตหีบ จ.ชลบุรี. April 5th, 2014.
ก้อนเมฆ ผมชอบเปรียบเทียบกับตัวผมเอง หลายครั้งที่ว่าฝนจะตกหรือไม่ตก ผมก็ไม่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าฝนตก ปกติถ้าอยู่ข้างนอกในช่วงหน้าฝน ผมต้องถึงบ้านก่อนฝนถึงจะตก หรือไม่พายุฝนก็มาทันที ความหมายของก้อนเมฆในทัศนคติของผมคือเป็นตัวแทนของอารมณ์มีเปลี่ยนสี มีครุมเครือ มีบังพระอาทิตย์ ก็เหมือนอารมณ์คนเรา แตถ้าอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ ผมก็ชอบดดูท้องฟ้ามันก็บอกได้นะแล้วแต่ความเชื่อ หรืออย่างเรื่องไสยศาสตร์ผมก็พอเดาออก มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แล้วแต่ว่าใครจะคิดอย่างไร ยังไงก็โปรดใช้วิจารณญาณกันนะครับ

แรงบันดาลใจจากดังกล่าวที่ผ่านมา สีฟ้าจากทะเลหรือท้องฟ้าเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของผม อยากจะออกไปแตะขอบฟ้าสักครั้ง (หัวเราะ...) ถ้ามีคนที่ชอบสีนี้เหมือนผมล่ะก็บอกได้เลยว่า เป็นคนโรแมนติก รักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตามใคร ชอบที่จะทำตามเสียงหัวใจตัวเองและสามารถที่รับฟังผู้อื่นอย่างมิตรสหายเสมอ นี่แหละครับลักษณะนิสัยของคนชอบสีฟ้า



6 มิ.ย. 2557

สีสันกับภาวะอารมณ์

ขอบคุณ Background HD และ Flickr.com

การปรับอารมณ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะมีบทบาทและมีอิทธิพลในการเข้าถึงกลุ่มผู้คน แม้แต่การพูดการเจรจาต่างๆ ก็ย่อมมีผลด้วย พ่อผมสอนเสมอเลยว่า การลงอารมณ์ไปพร้อมกับคำพูดมักทำให้เกิดความเสียหายตามมา มันทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจมาตั้งเท่าไรกันแล้ว ผมเองก็เช่นกันครับ ในบทบาทของอารมณ์ก็จะมีผลต่อทัศนคติด้วย ยังไง?

เคยสังเกตมั้ยว่า คำพูดของเรามีอารมณ์ร่วมหรือมีน้ำหนักมากเกินไปหรือเปล่า พอเราอารมณ์ไม่ดีก็มักจะขึ้นบ่อย บวกกับทัศนคติแล้ว ก็ย่อมมีผลตามมา เมื่อเราอคติกับสิ่งนั้นอยู่ มันก็เกินไป ที่จะปรับอารมณ์ของเรากลับมาให้คงที่ แต่ส่วนใหญ่ผมก็จะใช้วิธีสงบนิ่งเอาชนะความกลัวต่างๆ และยังปรับอารมณ์ของเราให้คงที่อีกด้วย มันคงไม่ยากเกินไปหรอก

ในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ก็มักจะมีเรื่องราวต่างๆ ทำให้เกิดความประทับใจ สีสันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ และให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย คนอารมณ์ดีก็มักจะมีความสุข เรื่องอะไรบ้างที่ทำให้เราประทับใจสิ่งเหล่านั้น ผมว่า คงมีเยอะแยะไป สิ่งที่ผมทำอยู่บ่อยๆ รดน้ำต้นไม้ พาสุนัขออกไปเดินเล่นบ้าง เล่นดนตรี มันก็ช่วยให้เราปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ ถ้าเราคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้อารมณ์และทัศนคติต่างๆ ก็ต้องปรับให้ได้ซะก่อนครับ

สีสัน คือการหาความบันเทิงรอบตัว อะไรก็ได้ ที่เรารักเราชอบ อย่างผมนี่ต้อง อิเล็กโทน เลยครับ ผมเล่นอยู่เป็นประจำ และทำให้คนในบ้านมีความสุข และร้องเพลงตามไปด้วย คุณแม่ผม ที่หนึ่งเลยครับ ผมเล่นดนตรีทีไร คุณแม่ผมร้องเพลงตามทุกทีเลย หรือกิจกรรมอย่างอื่นที่ทำร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือครอบครัวครับ

อารมณ์จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือ อย่านำอารมณ์ไม่ดีเหล่านั้นไปร่วมกับการกระทำหรือคำพูด มันจะเกิดผลลัพธ์เป็นการทำลายความสัมพันธ์และน้ำใจคน จึงกลายเป็นปัญหาสังคมตามมาและไม่มีที่สิ้นสุด คุณพ่อคุณแม่สอนผมเสมอ ว่าสิ่งที่เป็นอารมณ์เหล่านั้นจะทำให้เสียงานใหญ่ได้ ยิ่งคนวัยทำงานต้องไปพบปะผู้คน ทำธุรกิจ การเข้าหาลูกค้านั้นก็สำคัญ เป็นต้น

อารมณ์ที่ไม่ดีทำให้เกิดช่องว่าง และจุดบอดต่างๆ ต้องหาสิ่งที่เป็นสีสันมาเติม เป็นสสารของชีวิต ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้น ช่องว่างเหล่านั้นมันก็ถูกเติมไม่เต็ม และไม่มีความสุข ถ้าเราปรับอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็คงจะดี ถ้าเราปรับเปลี่ยนได้ ก็คงจะดีไม่น้อย และปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นปัญหาสังคม ก็มาจากอารมณ์นี่แหละ ที่เราเป็นคนกำหนด ให้มีความเป็นไปอย่างนั้น มันยังห่างไกลความเจริญอยู่ไม่น้อย ก็ควรระมัดระวังกันครับ

อยากขึ้นที่สูงต้องยกระดับและพัฒนาตนเอง ไม่นำอารมณ์เหล่านั้นทำให้เราต้อยต่ำลง ถ้าไม่มีอารมณ์มันก็แย่ แต่อารมณ์ก็นำความคิดเราไปด้วย อยากประสบความสำเร็จ ต้องหาโอกาส ถ้าละสิ่งเหล่านั้นได้ ใช้เข็มทิศที่เราสร้างนำทางไปให้ถึงสิ แล้วคุณจะพบคำตอบ

นอกเหนือจากนั้น ผมยังได้ศึกษาเกี่ยวกับพลังงานทางด้านอารมณ์ซึ่งเป็นนิมิตหมาย หรือที่เรียกว่า ออร่าประจำตัวเรา ผมเริ่มต้นจากการนั่งสมาธิหรือวิปัสสนาเข้ากรรมฐาน ผมได้รู้ถึงพลังงานบางอย่าง ซึ่งซ่อนอยู่ในตัวเรา พลังงานเหล่านั้นยังสะท้อนถึงตัวเราอีกด้วย และในแต่ละสียังบ่งบอกความอีกด้วย พลังงานทางด้านอารมณ์ของผมคือ สีเขียวครับ

พลังงานทางด้านอารมณ์ หรือออร่าประจำตัว ซึ่งเป็นนิมิตหมาย ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. พลังงานไร้รูป หรือสีขาว บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ ความว่างเปล่า และสามารถไปให้ถึงขั้นนิพพานได้ ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า
2. พลังงานด้านเย็น ได้แก่ สีเขียว สีฟ้าใส เป็นพลังงานที่บ่งบอกถึงความสงบ เมื่อจิตสงบนิ่ง พลังงานเหล่านั้นก็จะไหลเวียน ทำให้จิตใจเรานั้นสงบลง ไม่มีอารมณ์ที่เป็นด้านลบรวมอยู่ด้วย
3. พลังงานด้านร้อน ได้แก่ สีแสด สีแดง หรือสีเหลือง บ่งบอกถึงความหมกมุ่น ใจร้อน คนอบอุ่น พลังงานเหล่านี้เป็น Negative Colors จึงทำให้รู้สถานะของตนเอง ว่ามีอารมณ์เหล่านั้นรวมอยู่ด้วย จึงจำเป็นต้องทำให้จิตใจเราสงบก่อน ถึงจะยกระดับตนเอง ในขั้นตอนต่อไป

มันเป็นประสบการณ์ครับ และความเชื่อส่วนบุคคล (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม) ผมลองมาแล้ว และใช้ได้ผลจริง แต่ครั้งหนึ่งเหมือนถูกเตะออกจากสวรรค์ ตื่นถึงสองครั้ง ครั้งแรกนั้นร่างกายผมยังไม่ตื่น แต่จิตผมตื่นแล้ว พอครั้งที่สองถูกเตะอีกครั้ง ผมตื่นเลย เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยครับ ถ้าให้ดีเอาให้ได้แค่ ข้อที่สองก็พอแล้วครับ

อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบร่วมต่างๆ มีผลมากมายในชีวิต แม้แต่อารมณ์ต่างๆ ก็อย่ามองข้ามแล้วผ่านไป ผมก็หวังว่า ได้เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดีขึ้นครับ